คุณเคยสงสัยเหมือนผมไหม๊ว่าทำไมวงออเคสตร้าต้องมี ไอ้บ้าคนหนึ่งมีหน้าที่เปิดโน๊ตและถือไม้โบกไปโบกมา ทำไมต้องมี ไม่มีได้ไหม๊ เป็นสิ่งที่ค้างคาใจผมมานานพอสมควร จนวันหนึ่งมีเปิดไปเจอคลิปรายการดิ ไอดอล ซึ่งสัมภาษณ์คุณบัณฑิต อึ้งรังษี ว่าทำไมวงออเคสตร้าต้องมีวาทยกรด้วย ทั้งๆที่นักดนตรีแต่ละคนก็เก่งๆ ทั้งนั้น แต่ละคนก็มีโน๊ตเป็นของตนเอง..
คุณบัณฑิตตอบได้อย่างน่าฟังว่า เพราะสปีดของนักดนตรีแต่ละคนไม่เท่ากัน นักดนตรีแต่ละคนต่างคนต่างดูโน๊ตและจิตนาการบทเพลงและเล่นตามสปีดของตนเอง ถ้าเล่นคนเดียวคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเล่นรวมกันด้วยเพลงเดียวกัน ถ้าปล่อยให้เล่นกันเอง.."เละ" ดังนั้นหน้าที่ของวาทยกรที่สำคัญคือการนำ และการศึกษาข้อมูลเพลงที่จะเล่นของโน๊ตและเครื่่องดนตรีทุกชิ้น ที่ต้องเข้าใจและเข้าถึง เพื่อให้ถ่ายทอดอารมณ์เพลงของทั้งวงให้ออกมาอย่างที่ต้องการ..
และวาทยกรแต่ละคน..คุมวงเดียวกัน โน๊ตเพลงเดียวกัน แต่ก็บรรเลงออกมาไม่เหมือนกัน
ถ้าคุณเคยดูการวิ่งแข่งขันแบบตัวต่อตัวอย่างวิ่ง 100 เมตร 200 เมตร หรือระยะไกลอย่าง 1500 เมตร ก็คงมีความรู้สึกของการชมอย่างหนึ่ง และคงแอบชื่นชมสุดยอดนักกีฬาที่สามารถวิ่งเข้าเส้นชัยได้เป็นคนแรกว่าเป็นสุดยอดคนจริงๆ กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ และต้องผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างหนัก..
แต่หากคุณได้ลองชมการวิ่ง 20 คน 30 สิบขา คุณแทบจะมองหาสุดยอดนักกีฬาแบบที่ว่าไม่มีเลย..
เป็นการวิ่งที่ต้องอาศัยทีมเวิร์กล้วนๆ ซึ่งต้องผ่านการฝึกซ้อมจังหวัดการวิ่ง เรียนรู้ ให้กำลังใจ ปลอบใจให้กันและกันของคนในทีม ที่ยังคงต้องกอดคอกัน วิ่งไปยังเส้นชัย..หากล้มก็ต้องพยุงกันลุกขึ้นมาใหม่
ผมเชื่อว่า..การวิ่งแบบนี้หกล้ม เจ็บตัวกันหลายครั้ง และเสียน้ำตากันหลายหน..
ถ้าคนที่วิ่งแต่ละคนเปรียบเสมือนหน่วยงาน..ในโรงพยาบาล
ผ้าที่มัดเท้า..เปรียบเสมือนสายแลนในระบบที่เชื่อมโยงข้อมูลเข้าหากัน..
ในฐานะ admin จะพาทีมวิ่งอย่างไรที่จะไปถึงเส้นชัย...
บางทีวิธีเดิมๆที่มันทำได้ยาก..อาจจะต้องลองหาหนทางใหม่ๆ
ที่ถามว่าเป็นความผิดของ"คุณ"ไหม๊ ผมว่าผิดนะ..
ผิดตรงที่คุณคิด..ว่าตัวเองผิดนี่แหละ