แปลนคงลอกกันไม่ได้ครับ เพราะต้องดูขนาดห้อง, ชนิดและจำนวนอุปกรณ์, และงบประมาณครับ ผมยกตัวอย่างของผมนะครับ
1. ห้องเซิร์ฟเวอร์ที่ทำใหม่ เนื่องจากแบ่งห้องเดิมเป็นสองห้อง (เดิม 8x8 แบ่งเป็น 4x8 + 4x8; Server + Office) ผมจึงใช้กระจกเทมเปอร์เป็นวัสดุกั้นห้อง เหตุที่เลือกใช้กระจก เพราะ จะทำให้เราเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ภายในห้องได้ง่ายขึ้น และที่เลือกใช้กระจกเทมเปอร์เพราะเวลาเกิดอุบัติเหตุ กระจกจะแตกเป็นเม็ด ๆ คล้าย ๆ กระจกรถยนต์ ซึ่งจะปลอดภัยมากกว่า และอีกอย่าง ความหนาของกระจกจะช่วยลดเสียงที่เกิดขึ้น เนื่องจากผมมี Server รวม ๆ กัน 25 เครื่อง ดังนั้นเรื่องเสียงหายห่วงเลยครับ
2. พื้นห้อง ผมเลือกทำเป็นพื้นยกครับ เพราะช่วยลดปัญหากระแสไฟฟ้าที่อาจรั่วลงพื้น, ช่วยเรื่องการกระจายน้ำหนักลงพื้นห้อง เนื่องจากห้องนี้อยู่ชั้น 8 และที่สำคัญ คือ ทำให้เราสามารถเดินสายไฟต่าง ๆ และสายสัญญาณไว้ใต้พื้นได้ จะทำให้ห้องเป็นระเบียบสวยงาม และดูแลง่ายขึ้น ตัวโครงพื้นยก เป็นโครงเหล็กกล้ารูปกล่อง ซึ่งมีความแข็งแรง น้ำหนักเบา ตัว top ของพื้นสำเร็จ ใช้วัสดุเป็นแผ่นคอนกรีตมวลเบา ฉาบผิวหน้าเป็น Laminate (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) ซึ่งแข็งแรง แต่ก็มีข้อเสีย คือ เวลาตัดทำช่องบริการ หรือช่องรอยสายต้องวางแผนให้ดีครับ ตามแปลนของห้องผมจึงต้องกำหนดแนวการวางตู้เผื่ออนาคตไว้ และให้ผู้รับเหมาเจาะทำช่องไว้ให้เสร็จ แล้วปิดด้วยแผ่นยางไว้ก่อนครับ
3. ใต้พื้นผมเดิน wire way ไว้เสร็จ โดยให้ผู้รับเหมาจัดการเดินสายสำหรับต่อ power plug ให้เสร็จ เหลือแต่เอา UPS มาต่อก็ใช้งานได้ ถ้าจะเดินแบบผมแนะนำให้ใช้ power plug ครับ เพราะต่อง่าย, สะดวก, และปลอดภัยมากกว่าปลั๊กไฟปกติครับ
4. เหนือตำแหน่งตู้แร็ค ผมให้ผู้รับเหมาทำ cable ladder เอาไว้สำหรับรอยสายสัญญาณ Fiber Optic และ UTP เนื่องจากต้องการแยกสายไฟและสายสัญญาณไม่ให้มัดรวมกัน เพื่อความเป็นระเบียบ และง่ายต่อการติดตั้งและดูแลสายสัญญาณ และห้องที่มีการใช้ไฟเยอะ จะช่วยลดการส่งสัญญาณมากวนกันได้ครับ
5.ระบบไฟ เป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญมาก สิ่งที่เราต้องทำ คือ เอาอุปกรณ์ทั้งหมดมาคำนวนหาปริมาณการใช้ไฟ ถ้าเอาประหยัด บางคนจะคำนวนจากค่าเฉลี่ยที่ 85% Maximum Load แต่ผมเลือกคำนวนที่ 120% Maximum Load ซึ่งก็มีเหตุผลด้วยครับ ส่วนหนึ่งเราต้องดูว่าสายไฟจากตู้จ่ายไฟของอาคารที่เข้ามาตู้ควบคุมของห้องยาวกี่เมตร ของผมยาวประมาณ 150 เมตร ซึ่งจะเกิดการสูญเสียในสาย จึงต้องเผื่อไว้ และอีกอย่าง เราก็ไม่รู้ว่า เมื่อไรอุปกรณ์ของเราจะกินไฟเต็มพิกัด สายไฟที่ใช้ลาก หากต้องวิ่งผ่านห้องตรวจ อย่าลืมว่าควรใช้สายไฟที่มีฉนวนป้องกัน EMR ด้วยนะครับ
6. จาก normal feed เข้าห้องจะเข้าตู้ควบคุมก่อนจะแยกเป็นสายทาง ทางแรกถูกส่งไปเลี้ยงแอร์ครับ ไม่แนะนำให้เอาแอร์ไปพ่วงจาก UPS แม้ว่าเราจะมีงบมากพอจะซื้อ UPS ขนาดใหญ่ ๆ ได้ก็ตาม ตามคำแนะนำของทีมงานของ Leonic เขาไม่แนะนำเพราะ แอร์เป็นอุปกรณ์ที่กินไฟแบบกระชาก เวลาที่คอมเพรสเซอร์ทำงานแต่ละครั้ง ของผมจึงแยก load UPS กะ load แอร์ออกจากกัน
7. เรื่องของแอร์ก็สำคัญครับ ถ้าเลือกได้ก็อยากใช้ pricision cooling system เพราะสามารถควบคุมทุกอย่างทั้งอุณหภูมิ, ความชื้นในห้อง ซึ่งแม่นยำมากกว่า comfort cooling แต่ราคาก็ได้ใจจริง ๆ ครับ ตอนที่ผมคุยเรื่องห้อง เฉพาะค่าแอร์อย่างเดียวก็เกินครึ่งล้านแล้วครับ ก็เลยหันมาพึ่ง comfort cooling มากกว่า เรื่องของขนาด ผมว่าให้คำนวนจากค่าความร้อนภายในห้องดีกว่าครับ อย่าเดา ๆ เอาเลย เพราะอาจน้อยเกินไปหรือมากเกินไป ลองไปเปิดดู datasheet ของอุปกรณ์ดูครับ เขาจะมีบอก แต่ถ้าไม่สามารถ เท่าที่ถามผู้รับเหมาที่ทำห้องเซิร์ฟเวอร์มาเยอะ ๆ เขาแนะนำที่ 1000 - 1500 BTU ต่อตารางเมตรเป็นอย่างต่ำ ของผมเท่าที่ลองคำนวนจากอุปกรณ์ที่คาดว่าจะมีในห้องตกประมาณ 44,000 BTU ผมเลยซื้อเผื่อไปที่ 60,000 BTU เพราะห้องที่ทำเป็นห้องกระจกสองด้าน โดนแดดส่งช่วงบ่าย ซื้อมาสองตัวมีตัวควบคุมการทำงาน ปกติสองตัวจะทำงานสลับกันทุกหกชั่วโมง ช่วงรอยต่อให้ทำงานพร้อมกันประมาณ 5 นาทีเพื่อป้องกันไม่ได้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ตัวควบคุมจะมีระบบตรวจสอบการทำงานของแอร์และอุณหภูมิในห้อง หากอุณหภูมิสูงกว่าที่เรากำหนด เนื่องจากแอร์ตัวที่ต้องทำงานเสีย หรือรับภาระไม่ไหว ตัวควบคุมจะสั่งให้อีกตัวที่สแตนบายไว้ ทำงานทันที แต่หากไม่จนอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าที่กำหนด ก็จะส่งสัญญาณเตือน หรือส่ง sms ไปเตือนผู้ดูแลระบบ ซึ่งการใช้ตัวควบคุมแบบนี้จะดีกว่าการใช้ timer เยอะครับ
8. ระบบดับเพลิง สมัยนี้เราจะนิยมใช้เป็นสารเคมี เพราะถ้าใช้น้ำ อุปกรณ์คือพัง!! แต่สารเคมีก็มีหลายชนิด ที่นิยมที่สุดในปัจจุบันคือ FM2000 เพราะถูก และประสิทธิภาพสูง แต่ข้อเสียคือ เจ้า FM2000 เป็นสารประกอบฟลูออโรคาร์บอน ซึ่งทำลายชั้นบรรยากาศ ดังนั้นในปัจจุบันมีสารดับเพลิงชนิดอื่นออกมาเยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกก็าซเฉื่อย เช่น อาร์กอน หรือ ไนโตรเจน ผมจำชื่อไม่ได้แล้วครับ ราคาติดตั้งครั้งแรกจะแพงนิดหนึ่ง แต่ค่าบำรุงรักษาจะต่ำกว่า FM2000 มาก ประสิทธิภาพคือช่วยปิดกั้น 02 ดังนั้นถ้ามันพ่นออกมา ต้องรีบออกจากห้องทันที แต่ข้อดีคือไม่เป็นพิษต่อคน และไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
9. ระบบกล้องวงจรปิด, ระบบล๊อกห้องด้วยระบบลายนิ้วมือ อันนี้สมัยนิยมครับ แต่ก็ไม่แพงเท่าไรครับ แต่กล้องต้องเลือกดี ๆ นะครับ ผมเห็นออพชั่นเยอะเหลือเกิน เช่น ตัวกล้องระหว่าง 0 lux กะ 1 lux ราคาก็ต่างกันเยอะเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าจะพอช่วยจขกท.ในการตัดสินใจได้หรือเปล่า ก็ลองดูนะครับ