ไปเจอบทความดี ๆ เลยเอาบอกต่อครับ
บทความเรื่องนี้ เรียบเรียงจากหนังสือที่อาจารย์นวลฉวี ทรรพนันทน์ นำมามอบให้ผู้เขียนหลายเดือนมาแล้ว
และได้ขออนุญาต อ.นวลฉวีฯ มาเผยแพร่ต่อ ซึ่งอ.นวลฉวีฯ ไม่ขัดข้อง แต่ผู้เขียนก็ยังไม่มีเวลานำมาเรียบเรียงใหม่หลังจากผู้เขียน
จัดสรรเวลาได้ จึงเริ่มนำเรื่องนี้มาเผยแพร่ต่อ ซึ่งหลายๆส่วนนั้น ก็ได้มาจากอาจารย์สุทธิวัลล์ คำภา นักธรรมชาติบำบัดที่มีพื้นฐาน
จากครอบครัวแพทย์แผนไทย มีประสบการณ์ในการสืบค้นภูมิปัญญาไทยตามแนวธรรมชาติบำบัดมายาวนานกว่า 30 ปี
อีกทั้งได้ค้นคว้าหาความรู้จากพระไตรปิฎกในทางพุทธศาสนาประกอบ ซึ่งเป็นเรื่องของธรรม จิต พลัง ร่างกายและอาหาร
เป็นผู้ถ่ายทอดหลักในเนื้อหาของหนังสือเล่มดังกล่าว
โดยผู้เขียนขอนำมาเสนอต่อท่านผู้อ่านให้ได้ทราบต่อว่าการแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืน
มีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกาย
ของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกายซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง
อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต
อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก
กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย
การไหลเวียนของพลังชีวิต ลมปราณ ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 2 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง
คือ หนึ่งวัน เรียกว่า“นาฬิกาชีวิต”
ตัวอย่าง เช่นการไหลเวียนของเส้นลมปราณปอด จะมีพลังไหลเวียนเริ่มต้นที่เวลา 03.00 น.
และสูงสุดในช่วงประมาณ 04.00 น. จากนั้นจะค่อยๆ ลดลง และออกจากเส้นลมปราณปอดไปยังเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่
เวลา 05.00 น. การรักษาโรคของเส้นลมปราณปอดที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดจึงควรอยู่ระหว่างเวลา 03.00 – 05.00 น.
ได้มีการศึกษาวิจัยพบว่า ผลของการใช้ยาของฝรั่งคือ ยาดิติตาลิสในการรักษาโรคหัวใจล้มเหลว
มีการคั่งของน้ำในปอดการให้ยาในช่วงเวลา 04.00 น. จะให้ผลออกฤทธิ์ประมาณสี่สิบเท่าของการให้เวลาอื่น เป็นต้น
การเคลื่อนไหวของพลังชีวิตของอวัยวะภายในมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนและสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเวลา (นาฬิกาชีวิต)
ร่างกายเราจึงมีกลไกการปรับตัวมีการสร้างสารคัดหลั่งฮอร์โมน การทำงานของระบบตางๆ ฯลฯ เป็นไป
ตามสภาพธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป
การดำเนินชีวิตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง
ของธรรมชาติ จึงเป็นหลักฐานของการมีสุขภาพที่ดีและมีอายุยืน ปราศจากโรค โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาดังนี้
ช่วง 01.00 – 03.00 น.เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อน ถ้าใครนอนหลับได้ดี
หลับสนิท หลับลึก เป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย
นอกจากร่างกายจะหลั่งมีราโทนินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endorphin) ออกมาด้วย จึงไม่ควรกินอาหารเพราะจะทำให้ตับ
ทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รอง คือ
1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย
2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหารถ้ากินอาหารช่วง 01.00 – 03.00 น.จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก
จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
ช่วง 03.00 – 05.00 น.เป็นช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอน ลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์
ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำปอดจะดี ผิวดีขึ้น และจะเป็นคนที่มีอำนาจในตัว
ช่วง 05.00 – 07.00 น.เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ควรขับถ่ายอุจจาระ ทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า
ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว
โดยใช้น้ำ 1 แก้ว+น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ +มะนาว 4 – 5 ลูก ทำดื่มจนกว่าจะถ่ายหรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าแล้วก้มลง
พร้อมทั้งหายใจออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง
ช่วง 07.00 – 09.00 น.เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะทำงาน ควรกินอาหารเช้า
ในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล
ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย
ช่วง 09.00 – 11.00 น.เป็นช่วงเวลาของม้าม ควรพูดน้อย กินน้อย ไม่นอนหลับ ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย
มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครงสาเหตุ
มาจากม้ามกับตับ
- ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง
สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
- ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน จึงทำให้อ้วนง่าย
ผู้ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา 09.00 – 11.00 น. ม้ามจะอ่อนแอ นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก ผู้ที่พูดบ่อยๆ หรือพูดเก่งๆ ม้ามจะชื้น
จึงควรพูดน้อยกินน้อย ม้ามจึงแข็งแรง
ในหนังสือเล่มดังกล่าว ได้บอกเวลาทำงานของอวัยวะสำคัญในร่างกายคนเราไว้ต่อจากตอนที่ 1 ว่า
ช่วง 11.00 – 13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด
เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้
ช่วง 13.00 – 15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก ควรงดการกินอาหารทุกประเภท เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน
ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินซี บี โปรตีนเพื่อสร้างกรดอะมิโน สร้างเซลล์สมอง
ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่า
ผู้ชาย 11 ฟุต เพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่า เนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เมื่อมีลำไส้ยาวกว่าจึงมี
กระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ 1 ซี่
ช่วง 15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ ควรออกกำลังกาย แนวพลังของกระเพาะปัสสาวะเริ่ม...หัวตา
ผ่านหน้าผาก ศีรษะ ท้ายทอย แผ่นหลังทั้งแผ่น สะโพก ด้านหลังขา หัวเข่า น่อง ส้นเท้า นิ้วก้อย กระเพาะปัสสาวะจะเกี่ยวข้อง
กับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด (เป็นข้อมูลของแพทย์แผนตะวันออก ซึ่งอาจแตกต่างจากแพทย์แผนตะวันตก)
ช่วงเวลานี้จึงควรทำให้เหงื่อออก อาจจะออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง ข้อควรระวัง ถ้าเหงื่อมีโซเดียมปน
ออกมามากไตจะวาย แต่ถ้ามีโปตัสเซียมปนออกมามาก หัวใจจะวาย ป้องกันเรื่องหัวใจวายด้วยการให้ดื่มน้ำส้มหรือน้ำมะนาวเพื่อ
เติมโปตัสเซียม (ผู้ที่มีโปตัสเซียมน้อยต้องระวังเรื่องการฉีดยาชา เพราะยาชา จะทำให้โปตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจอาจวาย
ได้ง่าย) การอั้นปัสสาวะบ่อยๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ
จึงเป็นสิ่งที่ต้องระวัง เป็นต้นเหตุให้ท่านมีกลิ่นตัวที่น่ารังเกียจโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้น พยายามอย่ากลั้นปัสสาวะนาน
ต้องพยายามหาทางปลดปล่อยเมื่อปวดปัสสาวะ
ช่วง 17.00 – 19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้
ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาการหนักมาก
- ไตซ้ายจะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว
ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน
- ไตขวาจะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้าไตขวามีปัญหาความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว
ผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนมีอายุยืน เป็นคนกล้า ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลาย
จะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต สมองจะเสื่อม
ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแลคือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า
แต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกกับโฉลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนึ่ง
ช่วง 19.00 – 21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ
ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือหัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ
การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูแลเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแรง ควรใส่เสื้อผ้าชุดสีดำ เทา เอาเท้า แช่เท้าในน้ำอุ่น
ช่วง 21.00 – 23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น ห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงเวลานี้
เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
ช่วง 23.00 – 01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี ควรดื่มน้ำก่อน 23.00 น.
(ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ) อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี
ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก
หรือตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ำดีจะโยงไปถึงปอด) จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ
(ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)
ทางแก้ของนักธรรมชาติบำบัดคือ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ไนลอน ชุดนอน
ที่ทำจากใยสังเคราะห์จะไปดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้ายดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูงๆ
เพราะจะทำให้เสียน้ำในร่างกาย ดังนั้นควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น.
ขอให้ท่านผู้อ่าน ทดลองปฏิบัติดู บางท่านได้ผลตามหนังสือเล่มนี้ แนะนำ บางท่านก็ไม่ได้ผล
เข้าหลักที่ว่า “รางเนื้อ ชอบรางยา” นั่นคือ มันก็ไม่แน่เสมอไป แม้แต่ยารักษาโรคแผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง
หรือที่เรียกว่า “ยาฝรั่ง” ก็ใช่จะรักษาโรคที่กล่าวอ้างให้หายได้ตามใบกำกับยาในผู้ป่วยทุกราย บางรายกินเข้าไป
อาการกลับหนักยิ่งกว่าก่อนหน้าก็มี บางรายมีอาการข้างเคียงเข้าห้องไอซียูไปเลยก็มี เพราะมีอาการแพ้สารเคมี
ในยาฝรั่งนั่นเอง แต่ในศาสตร์แพทย์ทางเลือกที่ว่ามาในบทความตอนที่ 245 – 246 นี้ มีโทษน้อยกว่ายาฝรั่งมาก
และส่วนใหญ่ก็ดูจะได้ผลดีค่อนข้างมาก จึงได้นำมาบอกต่อครับ
ช่วง 11.00 – 13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด
เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้
ช่วง 13.00 – 15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก ควรงดการกินอาหารทุกประเภท เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน
ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินซี บี โปรตีนเพื่อสร้างกรดอะมิโน สร้างเซลล์สมอง
ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่า
ผู้ชาย 11 ฟุต เพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่า เนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เมื่อมีลำไส้ยาวกว่าจึงมี
กระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ 1 ซี่
ช่วง 15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ ควรออกกำลังกาย แนวพลังของกระเพาะปัสสาวะเริ่ม...หัวตา
ผ่านหน้าผาก ศีรษะ ท้ายทอย แผ่นหลังทั้งแผ่น สะโพก ด้านหลังขา หัวเข่า น่อง ส้นเท้า นิ้วก้อย กระเพาะปัสสาวะจะเกี่ยวข้อง
กับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด (เป็นข้อมูลของแพทย์แผนตะวันออก ซึ่งอาจแตกต่างจากแพทย์แผนตะวันตก)
ช่วงเวลานี้จึงควรทำให้เหงื่อออก อาจจะออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง ข้อควรระวัง ถ้าเหงื่อมีโซเดียมปน
ออกมามากไตจะวาย แต่ถ้ามีโปตัสเซียมปนออกมามาก หัวใจจะวาย ป้องกันเรื่องหัวใจวายด้วยการให้ดื่มน้ำส้มหรือน้ำมะนาวเพื่อ
เติมโปตัสเซียม (ผู้ที่มีโปตัสเซียมน้อยต้องระวังเรื่องการฉีดยาชา เพราะยาชา จะทำให้โปตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจอาจวาย
ได้ง่าย) การอั้นปัสสาวะบ่อยๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ
จึงเป็นสิ่งที่ต้องระวัง เป็นต้นเหตุให้ท่านมีกลิ่นตัวที่น่ารังเกียจโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้น พยายามอย่ากลั้นปัสสาวะนาน
ต้องพยายามหาทางปลดปล่อยเมื่อปวดปัสสาวะ
ช่วง 17.00 – 19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้
ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาการหนักมาก
- ไตซ้ายจะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว
ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน
- ไตขวาจะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้าไตขวามีปัญหาความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว
ผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนมีอายุยืน เป็นคนกล้า ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลาย
จะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต สมองจะเสื่อม
ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแลคือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า
แต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกกับโฉลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนึ่ง
ช่วง 19.00 – 21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ
ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือหัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ
การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูแลเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแรง ควรใส่เสื้อผ้าชุดสีดำ เทา เอาเท้า แช่เท้าในน้ำอุ่น
ช่วง 21.00 – 23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น ห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงเวลานี้
เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
ช่วง 23.00 – 01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี ควรดื่มน้ำก่อน 23.00 น.
(ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ) อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี
ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก
หรือตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ำดีจะโยงไปถึงปอด) จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ
(ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)
ทางแก้ของนักธรรมชาติบำบัดคือ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ไนลอน ชุดนอน
ที่ทำจากใยสังเคราะห์จะไปดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้ายดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูงๆ
เพราะจะทำให้เสียน้ำในร่างกาย ดังนั้นควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น.
ขอให้ท่านผู้อ่าน ทดลองปฏิบัติดู บางท่านได้ผลตามหนังสือเล่มนี้ แนะนำ บางท่านก็ไม่ได้ผล
เข้าหลักที่ว่า “รางเนื้อ ชอบรางยา” นั่นคือ มันก็ไม่แน่เสมอไป แม้แต่ยารักษาโรคแผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง
หรือที่เรียกว่า “ยาฝรั่ง” ก็ใช่จะรักษาโรคที่กล่าวอ้างให้หายได้ตามใบกำกับยาในผู้ป่วยทุกราย บางรายกินเข้าไป
อาการกลับหนักยิ่งกว่าก่อนหน้าก็มี บางรายมีอาการข้างเคียงเข้าห้องไอซียูไปเลยก็มี เพราะมีอาการแพ้สารเคมี
ในยาฝรั่งนั่นเอง แต่ในศาสตร์แพทย์ทางเลือกที่ว่ามาในบทความตอนที่ 245 – 246 นี้ มีโทษน้อยกว่ายาฝรั่งมาก
และส่วนใหญ่ก็ดูจะได้ผลดีค่อนข้างมาก จึงได้นำมาบอกต่อครับ
บทความของ อ.มงคล กริชติทายาวุธ
ประธานชมรมศาสนาและการกุศล